การศึกษาวิจัย การทดลองเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ลายนิ้วมือ มีมายาวนานและเป็นที่ยอมรับและนำมาใช้ประโยชน์ในหลายมิติ เช่นนิติวิทยาศาสตร์ พันธุศาสตร์ และการค้นหาพรสวรรค์ ผ่านลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นอีกนวัตกรรมที่ทำให้คนเราได้ค้นพบและรู้จักตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ นำไปใช้พัฒนาต่อยอดในการเลือกสานเรียน หรือพัฒนาอาชีพได้อย่างถูกต้อง
ยกตัวย่างบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องในการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับลายนิ้วมือและได้รับการยอมรับในระดับสากล
ผลวิเคราะห์จากการสแกน มีความแม่นยำและ นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ?
การสแกนลายนิ้วมือเพื่อค้นหาพรสวรรค์ศักยภาพ ความสามารถ ความถนัดเฉพาะบุคคลได้จริงหรือไม่? อย่างไร?
วิทยาศาสตร์ลายนิ้วมือ เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ทั้งในด้านการศึกษาและการกีฬา
เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในหลายประเทศทั่วโลกทั้งในยุโรปและเอเชียมีความแม่นยำมากก่วา 90 %
สามารถบอกถึงพรสวรรค์และศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นพบตัวเองเพื่อในไปพัฒนาต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในแบบของตนเอง

Dr. john E Purkinje
ค.ศ. 1823
ในปี ค.ศ. 1823 Jan Evangelista Purkyně ได้ตีพิมพ์ผลงานสำคัญที่บรรยายและจำแนกลายนิ้วมือออกเป็น 9 รูปแบบหลัก แม้ในขณะนั้นเขาจะไม่ได้กล่าวถึงการนำลายนิ้วมือมาใช้ระบุตัวตนโดยตรง แต่ผลงานนี้ได้วางรากฐานสำคัญให้กับการศึกษาลายนิ้วมือในเวลาต่อมา ลายผิวหนังมนุษย์เริ่มก่อตัวตั้งแต่ประมาณสัปดาห์ที่ 13 ของการตั้งครรภ์สมบูรณ์เต็มที่ในสัปาดาห์ที่ 21 และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย

Dr. Charles bell
ค.ศ. 1832
ศัลยแพทย์ ผู้ค้นพบความสัมพันธ์ระบบประสาทสมองกับลายผิวนิ้วมือ ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ของมือ ผิวหนัง และระบบประสาท พื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานและการรับความรู้สึกของมือและผิวหนัง การแยกความแตกต่างระหว่างเส้นประสาทรับความรู้สึก (sensory nerves) และเส้นประสาทสั่งการ (motor nerves) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการทำความเข้าใจการทำงานของระบบประสาททั้งหมด รวมถึงการรับรู้ทางสัมผัสที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังและนิ้วมือ

Sir francis galton
ค.ศ. 1893
นักมนุษย์วิทยาตีพิมพ์หนังสือ "Finger Prints" ในปี ค.ศ. 1892 ซึ่งได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าลายนิ้วมือมี ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ ความคงทนถาวร ตลอดชีวิต เขาพัฒนาระบบจำแนกหลักสามแบบ (โค้ง, ห่วง, ก้นหอย) ซึ่งต่อมาเป็นรากฐานของระบบ Henry Classification. ผลงานของ Galton ทำให้ลายนิ้วมือเป็นเครื่องมือสำคัญใน นิติวิทยาศาสตร์ และการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลมาจนถึงปัจจุบัน.

Dr.Howard Gardner
ค.ศ. 1983
ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ในปี 1983 เพื่อขยายนิยามความฉลาดให้หลากหลายกว่า IQ เขาเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถหลากหลาย ไม่ใช่แค่คณิตศาสตร์หรือตรรกะ และเด็กที่อ่อนคณิตศาสตร์อาจฉลาดในด้านอื่น เช่น ภาษาหรือดนตรี การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจึงควรปรับให้เข้ากับ ปัญญา หรือ ความถนัด ของแต่ละบุคคล เพื่อดึงศักยภาพที่แท้จริงออกมา